Lazy Eye ทำความรู้จักโรคตาขี้เกียจในเด็ก พ่อแม่ควรสังเกตอย่างไร
Lazy Eye ทำความรู้จักโรคตาขี้เกียจในเด็ก พ่อแม่ควรสังเกตอย่างไร
โดย : หมอคู่คิดส์ | 9 กรกฎาคม 2025 | บทความทางการแพทย์
Highlight
– โรคตาขี้เกียจ คือ ภาวะที่ตามองเห็นภาพไม่ชัด เพราะเด็กใช้ตาข้างนั้นน้อยไป
– พบได้ประมาณ 1-5% ในเด็ก ตั้งแต่ช่วง 6 เดือน – 8 ปี
– สาเหตุ คือ มีสายตา 2 ข้างไม่เท่ากัน, ตาเหล่, มีปัญหาในตาข้างใดข้างหนึ่ง
– วิธีสังเกต คือ ลูกร้องไห้เมื่อโดนปิดตา, พยายามดึงมือที่ถูกปิดตาออก, ลูกตาดำสั่น
– การรักษาเบื้องต้น คือการกระตุ้นการมองเห็นในตาข้างที่ขี้เกียจ
– ควรพาลูกไปตรวจคัดกรองอย่างน้อย 1 ครั้ง
เมื่อลูกน้อยเริ่มเข้าสู่วัยที่ต้องใช้สายตาเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว การมองเห็นที่ผิดปกติเพียงข้างเดียวอาจเป็นสัญญาณของ โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eye) หรือชื่อทางการแพทย์ว่า Amblyopia ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อพัฒนาการทั้งด้านสติปัญญาและสังคมของเด็ก หากไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที ในบทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีสังเกต รวมถึงการรักษา
โรคตาขี้เกียจ คืออะไร
โรคตาขี้เกียจ (Lazy Eye หรือ Amblyopia) เป็นภาวะที่ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมีพัฒนาการของการมองเห็นที่ต่ำกว่าค่าปกติ เพราะเด็กใช้ตาข้างใดข้างหนึ่งน้อยเกินไป ทำให้สมรรถภาพลดลง จนอาจสูญเสียการมองเห็นได้ และไม่ได้มีสาเหตุจากโรคทางกายของดวงตาชัดเจน
พบโรคนี้ได้บ่อยแค่ไหน และมักพบในช่วงอายุเท่าไร?
โรคตาขี้เกียจเป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็ก โดยพบประมาณ 1–5% ของเด็กทั่วโลก และเนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีอาการเจ็บปวด หรือไม่มีการร้องเรียนจากเด็ก ผู้ปกครองหลายคนอาจไม่รู้ว่าลูกมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นจากภาวะนี้
ช่วงอายุที่มักพบโรคนี้คือระหว่าง 6 เดือน ถึง 8 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองของพัฒนาการการมองเห็น สมองในช่วงนี้มีความยืดหยุ่นสูง จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะต้องวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อผลลัพธ์การมองเห็นที่ดีที่สุดในระยะยาว
สาเหตุของโรคตาขี้เกียจ
โรคตาขี้เกียจอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
ตาเขหรือตาเหล่
ตาเขหรือตาเหล่เป็นสาเหตุหลักอันดับหนึ่ง โดยเด็กที่มีตาเขจะไม่สามารถใช้สายตาทั้งสองข้างพร้อมกันได้ สมองจะเลือกใช้แค่ภาพจากตาข้างที่ตรง และละเลยการแปลภาพจากตาข้างที่เอียง ทำให้ตาข้างนั้นไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่และกลายเป็นตาขี้เกียจได้
ภาวะสายตาไม่เท่ากัน
อีกสาเหตุที่พบบ่อยเช่นกันคือการที่ดวงตาทั้งสองข้างมีค่าสายตาห่างกันมาก เช่น ข้างหนึ่งสายตาสั้นมาก อีกข้างสายตาใกล้ปกติ หรือข้างหนึ่งมีสายตายาวอีกข้างสายตาเอียง เด็กอาจไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะสามารถมองได้ชัดด้วยเพียงตาข้างเดียว ทำให้ตาข้างที่มองไม่ชัดเกิดภาวะตาขี้เกียจโดยไม่รู้ตัว
โรคตาที่ทำให้บดบังการมองเห็น
เป็นสาเหตุน้อยแต่รุนแรงที่สุด เช่น มีต้อกระจกตั้งแต่แรกเกิด โรคเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตา หนังตาตก ปานหรือก้อนเนื้อปิดตา ซึ่งขัดขวางไม่ให้แสงเข้าสู่ตาในช่วงแรกของชีวิต ทางสมองจะไม่ได้รับสัญญาณภาพจากตาข้างนั้นเลย ส่งผลให้ไม่มีพัฒนาการด้านการมองเห็น
สาเหตุอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นการได้รับบาดเจ็บที่ตา การติดเชื้อรุนแรงที่ส่งผลต่อการมองเห็นตั้งแต่วัยเด็ก หรือกรณีที่เด็กคลอดก่อนกำหนด และยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสม
วิธีสังเกตโรคตาขี้เกียจในเด็ก
หนึ่งในความท้าทายของโรคตาขี้เกียจ คือ ผู้ปกครองมักสังเกตไม่พบ เพราะเด็กส่วนใหญ่จะปรับตัวโดยอาศัยตาข้างที่มองชัดแทน ทำให้ความผิดปกติไม่แสดงขึ้นอย่างเด่นชัดนัก จนกระทั่งเข้าสู่วัยเรียนและเริ่มมีปัญหาในการอ่านหรือการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตสัญญาณเตือนเบื้องต้นได้ดังนี้
– ลูกมีท่าทางในการใช้ตาข้างเดียวบ่อยๆ เช่น หันหน้าเฉียงเพื่อให้มองชัด
– เด็กชอบเอียงศีรษะเวลาอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์
– ดูไม่ตรงวัตถุคล้ายมีภาวะตาเขหรือเหล่
– ลูกเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว เช่น เดินชนสิ่งของเป็นประจำ
– มีประวัติครอบครัวที่เคยเป็นตาขี้เกียจหรือตาเข
– เมื่อปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง เด็กร้องกวนหรือไม่ยอมใช้ตาอีกข้าง เช่น เมื่อปิดตาข้างที่ดี เด็กอาจหงุดหงิดเพราะตาข้างที่เหลือมองไม่ชัด
วิธีการรักษาโรคตาขี้เกียจ
การรักษาโรคตาขี้เกียจจำเป็นต้องอาศัยการฟื้นฟูการทำงานร่วมกันระหว่างตาทั้งสองข้างและสมอง แผนการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่พบและความรุนแรงของภาวะ โดยมีเป้าหมายคือการกระตุ้นตาข้างที่อ่อนแอให้เริ่มพัฒนาการมองเห็นได้ดีขึ้น
แก้ไขปัญหาสายตา
แว่นตาถือเป็นการรักษาขั้นแรกในกลุ่มที่สายตาผิดปกติ มีภาวะสายตาไม่เท่ากัน หรือมีระยะแรกของภาวะตาขี้เกียจ เด็กอาจต้องใส่แว่นอย่างต่อเนื่อง 6–8 สัปดาห์ก่อนเริ่มการรักษาแบบอื่น
การปิดตาข้างที่มองเห็นชัด
เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้กันมาช้านาน โดยการปิดตาข้างที่ทำงานได้ดีด้วยผ้าปิดตาหรือแผ่นปิดตาพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้เด็กใช้ตาข้างที่อ่อนแอ ส่งผลให้สมองต้องพัฒนาเส้นทางการมองเห็นจากตาข้างที่ขี้เกียจมากขึ้น
โดยทั่วไปจะเริ่มจากการปิดตาชั่วคราว 2-6 ชั่วโมงต่อวัน ในเด็กเล็ก และอาจเพิ่มเป็น 6-8 ชั่วโมง/วัน ตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง และอายุของเด็ก
ใช้ยาหยอดตา
ในบางกรณีที่เด็กไม่ยอมให้ปิดตาได้ตามแผนหรือระคายเคือง อาจเลือกใช้ยาหยอดตาเพื่อทำให้ตาข้างที่ดีมองไม่ชัดชั่วคราว กลยุทธ์นี้จะช่วยให้เด็กใช้ตาข้างที่อ่อนแอแทน
รักษาต้นเหตุ
หากสาเหตุของตาขี้เกียจเกิดจากต้อกระจก หรือเจอก้อนเนื้อ หรือเกิดจากตาเขบ่อย อาจต้องรักษาที่ต้นเหตุด้วยการผ่าตัด ปรับกล้ามเนื้อตา หรือใช้แว่นและฝึกการใช้สายตาร่วมกัน
ฝึกสายตาด้วยโปรแกรมพิเศษ
เทคโนโลยีในปัจจุบันมีโปรแกรมฝึกสายตาผ่านแอปพลิเคชันหรืออุปกรณ์เสริม เช่น การเล่นเกม 3D, การฝึกจับคู่ภาพ ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ตาข้างอ่อนแอพัฒนาเร็วขึ้น โดยการทำอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับวิธีอื่นจะช่วยให้ผลลัพธ์การรักษาดีขึ้น
ถ้ากลัวลูกเป็นโรคตาขี้เกียจ พ่อแม่ควรทำอย่างไร
– พาลูกเข้ารับการตรวจตาตั้งแต่อายุ 6 เดือน-1 ปี และติดตามเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้ามีประวัติครอบครัวเป็นโรคตา
– ร่วมมือกับแพทย์ในการรักษา เช่น การให้ลูกใส่แว่น หรือปิดตาตามเวลาที่กำหนด
– สนับสนุนลูกให้ฝึกใช้ตาที่อ่อนแอผ่านกิจกรรม เช่น วาดภาพ ต่อจิ๊กซอว์ ดูหนัง หรือเล่นเกมที่ใช้สายตา
– อย่าตำหนิลูกเมื่อลูกไม่อยากใส่แว่นหรือปิดตา เพราะเด็กอาจรู้สึกไม่มั่นใจ ให้ลองอธิบายอย่างเข้าใจง่ายว่าทำไมต้องรักษา
สรุปเรื่องโรคตาขี้เกียจ (Lazy Eye)
โรคตาขี้เกียจในเด็กอาจไม่พบอาการผิดปกติใดๆ ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพ่อแม่จึงหมั่นสังเกตดวงตาของลูกน้อยอยู่เสมอ หรือเข้ารับการตรวจสายตาเป็นประจำ หากพบอาการผิดปกติก็จะสามารถรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตมาได้อย่างแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ
คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อย อาการเจ็บป่วย พัฒนาการเด็ก หรือเรื่องอื่นๆ สามารถโหลดแอปฯ หมอคู่คิดส์ เพื่อปรึกษาแพทย์ พยาบาล ได้เลย รู้อาการได้ทันที ไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาล ใช้งานง่าย คุยได้ตลอด ผ่านระบบแชทและวิดีโอคอล ดาวน์โหลดและปรึกษาเลยวันนี้! ทั้งในระบบ iOS และ Android