“หมอคู่คิดส์” แอปฯ หมอเด็กออนไลน์

เมื่อลูกเป็นเด็กติดจอ พ่อแม่ต้องรับมืออย่างไร

ลูกติดจอ

เมื่อลูกเป็นเด็กติดจอ พ่อแม่ต้องรับมืออย่างไร

โดย : หมอคู่คิดส์ | 8 สิงหาคม 2025 | บทความทางแม่และเด็ก

Highlight
– เด็กอายุ 0-2 ปี หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอโดยเด็ดขาด
– เด็กอายุ 3-5 ปี จำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน
– สัญญาณลูกติดจอที่ควรสังเกต เช่น หงุดหงิดง่าย รอไม่ได้ แยกตัวจากสังคม
– ผลกระทบ คือ เสี่ยงเป็นโรคสมาธิสั้น อารมณ์รุนแรง โมโหร้าย
– พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกในการใช้จอ

ลูกติดจอ

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็กๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เมื่อการใช้งานกลายเป็น “การติดจอ” ปัญหาก็เริ่มตามมา ทั้งในด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจ พฤติกรรม และพัฒนาการ การรับมืออย่างเข้าใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพ่อแม่ทุกบ้าน บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเรียนรู้การรับมือเรื่องลูกติดจอ เพื่อให้เด็กเติบโตได้อย่างมีคุณภาพในยุคดิจิทัล

เด็กควรใช้มือถือเมื่อไร

เด็กอายุ 0-2 ปี : หลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอโดยเด็ดขาด ยกเว้นการวิดีโอคอลคุยกับคนในครอบครัว เพราะเด็ดกยังไม่ได้มีพัฒนาการทางด้านประสาทที่จะเข้าใจหรือเรียนรู้จากสื่อดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

เด็กอายุ 3-5 ปี : จำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยควรเป็นเนื้อหาคุณภาพ และดูร่วมกับพ่อแม่ เพื่อกระตุ้นการพูดคุย สื่อสาร และส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ร่วม

เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป : พ่อแม่สามารถกำหนดเวลาใช้หน้าจอร่วมกับลูกได้ โดยเน้นให้สมดุลกับกิจวัตรอื่น ได้แก่ การนอน การออกกำลังกาย การอ่านหนังสือ และการเล่นที่ไม่มีหน้าจอ

สัญญาณลูกติดจอที่ควรสังเกต

พฤติกรรมติดจอในเด็ก อาจไม่ใช่แค่การใช้เวลาเล่นโทรศัพท์นานๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงเมื่อไม่ได้เล่นโทรศัพท์ หรือแสดงอาการที่แปลกไปจนกระทบชีวิตประจำวัน สำหรับสัญญาณเตือนว่าลูกอาจกำลังติดจอ มีดังนี้

– มีพฤติกรรมหงุดหงิด โมโหรุนแรง เมื่อไม่ได้เล่นมือถือ

– ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ขาดสมาธิ ขี้ลืม รอไม่ได้

– ใช้มือถือเป็นเวลานานกว่าที่กำหนดอย่างต่อเนื่อง

– ถามหามือถือตลอดเวลา โวยวายเมื่อถูกห้ามเล่น

– ขาดความสนใจในการเล่นกับเพื่อน หรือการพูดคุยกับครอบครัว มีการแยกตัวจากสังคม

– แสดงพฤติกรรมเลียนแบบที่อาจไม่เหมาะสมจากสื่อออนไลน์

– มีปัญหาในการนอน เช่น หลับยาก หลับไม่สนิท ตื่นกลางดึก

– ผลการเรียนลดลง เนื่องจากใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป

วิธีสังเกตลูกติดจอ

ผลกระทบจากการที่ลูกติดจอ

การใช้หน้าจอมากเกินความเหมาะสม ส่งผลกระทบในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต รวมถึงพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก ดังนี้

ด้านร่างกาย

– สายตาเสียจากการจ้องจอเป็นเวลานาน โดยเฉพาะแสงสีฟ้าที่ส่งผลให้ตาแห้ง หรือเกิดอาการตาล้า

– ส่งผลต่อระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ จากการนั่งนาน ในท่าเดิม โดยเฉพาะคอ บ่า ไหล่

– ปัญหาน้ำหนักตัวเกิน หรือโรคอ้วน เด็กที่ติดจอมักไม่ออกกำลังกาย เล่นไม่พอ

– การนอนหลับไม่เพียงพอ เนื่องจากใช้หน้าจอจนดึก หรือมีแสงจากหน้าจอรบกวนวงจรการนอน

ด้านจิตใจและอารมณ์

– หงุดหงิดง่าย เพราะถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์อย่างรวดเร็วจากเกมหรือคลิปวิดีโอ เมื่อกลับสู่โลกจริงที่ช้ากว่า อาจทำให้เบื่อหรือหงุดหงิด

– ขาดทักษะการควบคุมอารมณ์ และการรอคอย เพราะคุ้นเคยกับการได้รับสิ่งต่างๆ ทันทีจากหน้าจอ

– มีความเครียด ซึมเศร้า จากการเปรียบเทียบตัวเองกับบุคคลในโลกออนไลน์ หรือรับข้อมูลความรุนแรงโดยตรง

ด้านพัฒนาการสังคม

– ขาดทักษะการเข้าสังคม การใช้ภาษาท่าทาง หรือการสื่อสารแบบเผชิญหน้า เนื่องจากใช้เวลาหน้าจอมากกว่าการเล่นกับเพื่อน

– ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์เชิงบวก กับคนรอบตัวอย่างมีคุณภาพ

– มีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว หรือลอกเลียนพฤติกรรมรุนแรงจากสื่อ

ด้านสติปัญญาและการเรียนรู้

– มีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้น เนื่องจากการปรับเปลี่ยนภาพเร็วๆ ในสื่อดิจิทัล ทำให้สมองชินกับการตอบสนองแบบฉับพลัน ส่งผลให้เด็กเบื่อง่าย ไม่สามารถจดจ่อกับเรื่องทีละอย่างได้นาน

– พัฒนาทางภาษาช้า หากไม่มีผู้ใหญ่นั่งดูหรืออธิบายด้วย อาจทำให้ขาดโอกาสในการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ พูดโต้ตอบ หรือซักถาม

– การเรียนอ่อนลง เนื่องจากนอนน้อย ไม่มีสมาธิ และใช้เวลาทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนมากเกินไป

ผลกระทบ ลูกติดจอ

เทคนิคดูแลลูก รับมือการเป็นเด็กติดจอ

การช่วยให้ลูกลดการติดจอ ไม่ใช่การห้ามทั้งหมดทันที แต่คือ การค่อยๆ ปรับพฤติกรรม สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี และใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเทคนิคที่สำคัญมีดังนี้

– เป็นแบบอย่างที่ดี : พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างในการใช้สื่อที่เหมาะสม พยายามไม่เล่นมือถือให้ลูกเห็น หรือหลีกเลี่ยงการใช้มือถือขณะกินข้าวหรือคุยกับลูก

– สร้างตารางกิจวัตรประจำวัน : กำหนดเวลาการใช้หน้าจอให้ชัดเจนในแต่ละวัน เช่น หลังการบ้านเสร็จ 30 นาทีเท่านั้น และควรมีรูปแบบตารางกิจกรรมรายวัน รวมถึงเวลาเล่น เวลาอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เข้านอน

– กำหนดโซนปลอดจอภายในบ้าน : เช่น ห้องนอน โต๊ะอาหาร บริเวณห้องนั่งเล่น รวมถึงในเวลาที่อยู่ด้วยกันควรทำกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับจอร่วมกับลูก

– ใช้เทคนิคเล่นแทนจอ : หากลูกต้องการความบันเทิง ลองชวนทำกิจกรรมอื่นแทน เช่น เล่นบอร์ดเกม งานประดิษฐ์ ต่อเลโก้ สร้างนิทาน เล่านิทาน อ่านหนังสือ หรือทำอาหารร่วมกัน

– ให้ทางเลือกที่เหมาะสม : ไม่ควรห้ามลูกใช้มือถืออย่างเด็ดขาด จนเด็กรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องแอบทำ แต่ควรเสนอสื่อหรือแอปพลิเคชันเชิงสร้างสรรค์ เช่น วิดีโอความรู้ง่ายๆ จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และดูร่วมกับพ่อแม่เพื่อการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้

– เปิดใจคุยกับลูก : อย่าใช้วิธีสั่งอย่างเดียว ให้โอกาสลูกแสดงความคิดเห็น ฟังว่าเด็กชอบอะไร ทำไมถึงเล่นบ่อย แล้วชวนคิดว่าเราจะตั้งกติกาใหม่ร่วมกันอย่างไรให้ทั้งสองฝ่ายพอใจ

– ใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัย : พ่อแม่ควรตั้งค่าควบคุมการเข้าถึงเว็บหรือเนื้อหา โดยใช้เครื่องมือ Parental Control และควรตรวจสอบประวัติการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับสอนลูกเรื่องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์

เทคนิคดูแล เด็กติดจอ

สรุปเรื่องเด็กติดจอ

การเติบโตของเด็กในยุคดิจิทัลไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข้าถึงหน้าจอ แต่พ่อแม่สามารถเป็นคู่คิดที่ดูแลให้เด็กใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่การฟังลูกให้มากขึ้น ใช้เวลากับลูกให้มากพอ และการสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้จากโลกจริงควบคู่กับโลกออนไลน์

คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อย อาการเจ็บป่วย พัฒนาการ หรือจิตวิทยาเด็ก สามารถโหลดแอปฯ หมอคู่คิดส์ เพื่อปรึกษาแพทย์ พยาบาล จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาได้ทันที ใช้งานง่าย คุยได้ตลอด ผ่านระบบแชทและวิดีโอคอล ดาวน์โหลดและปรึกษาเลยวันนี้! ทั้งในระบบ iOS และ Android

โหลดแอปพลิเคชัน
และเริ่มปรึกษาได้เลย

“หมอคู่คิดส์” แอปฯ หมอเด็กออนไลน์

ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม