How to รับมือ ในวันที่ลูกถูกบูลลี่
How to รับมือ ในวันที่ลูกถูกบูลลี่
โดย : หมอคู่คิดส์ | 21 สิงหาคม 2025 | บทความทางแม่และเด็ก
Highlight
– การบูลลี่ คือ พฤติกรรมที่จงใจทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย จิตใจ หรือสังคม
– ควรหมั่นดูพฤติกรรมลูกเสมอ ลองคุยกับลูกด้วยการใช้คำถามปลายเปิด ไม่ชี้นำ
– เด็กเล็กมักยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกหรือเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน การเป็นผู้ฟังที่ดีและการให้ความมั่นคงคือสิ่งสำคัญที่สุด
– เด็กโตมักเริ่มมีโลกส่วนตัว แต่พ่อแม่ยังสามารถเป็นโค้ชที่ดี โดยให้คำปรึกษาอย่างเข้าใจ
– ผลกระทบระยะยาว คือ ผลการเรียนแย่ลง อาจเกิดภาวะซึมเศร้า ส่งผลต่อสุขภาพกาย เป็นต้น
เมื่อเราส่งลูกไปโรงเรียน เราคาดหวังว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้ เติบโต และมีความสุขกับเพื่อนๆ แต่ความจริงคือ ไม่ใช่ทุกวันที่ลูกจะได้รับประสบการณ์ที่ดี บางครั้งเด็กๆ อาจต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เจ็บปวดอย่างการ “บูลลี่” ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นในเด็กตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงวัยรุ่น บทความนี้จะจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการบูลลี่ พร้อมวิธีรับมือเพื่อดูแลจิตใจลูกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
บูลลี่คืออะไร
การบูลลี่ (Bullying) คือ พฤติกรรมที่จงใจทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย จิตใจ หรือสังคม และเกิดขึ้นซ้ำๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเสียหายให้กับผู้ถูกกระทำ โดยการบูลลี่มี 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่
บูลลี่ทางกาย (Physical Bullying)
การทำร้ายร่างกาย เช่น ผลัก เตะ ต่อย เหวี่ยงของใส่ การนำสิ่งของของผู้ถูกกระทำไปทำลายหรือขโมย พบบ่อยในเด็กเล็กและวัยประถม พัฒนากลายเป็นความรุนแรงมากขึ้นได้ในอนาคต
บูลลี่ทางคำพูด (Verbal Bullying)
การใช้คำพูดหยาบคาย ด่าทอ ดูถูก แซว หรือตั้งฉายาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและพัฒนาการด้านอารมณ์ของเด็ก การบูลลี่ประเภทนี้พบได้บ่อยและบางครั้งอาจถูกมองข้าม เพราะไม่ได้แสดงออกให้เห็นทางร่างกาย
บูลลี่ทางสังคม (Social Bullying)
การกลั่นแกล้งทางสังคม เช่น การกีดกันไม่ให้เด็กเข้าร่วมกิจกรรม การพูดลับหลัง เสื่อมเสียชื่อเสียง การสร้างกลุ่มเพื่อแบนลูก พฤติกรรมลักษณะนี้ส่งผลให้เด็กมีความรู้สึกโดดเดี่ยว ขาดความมั่นใจ และพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวลได้
บูลลี่ทางไซเบอร์ (Cyberbullying)
เป็นการกลั่นแกล้งโดยใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดีย เช่น ส่งข้อความแกล้ง แชร์ภาพ หรือข้อมูลเท็จ จนเกิดการล้อเลียนในโลกออนไลน์ ซึ่งมีความอันตรายเพราะเกิดได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ไม่จำกัดวง
วิธีสังเกตเมื่อลูกถูกบูลลี่ พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไร
เด็กที่ถูกบูลลี่ส่วนใหญ่มักไม่พูดตรงๆ เพราะกลัวอับอายหรือไม่อยากให้พ่อแม่กังวล แต่จะส่งสัญญาณบางอย่างออกมา หากพ่อแม่สังเกตดีๆ อาจช่วยลูกได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นจึงควรหมั่นดูพฤติกรรมลูกเสมอ ลองคุยกับลูกด้วยการใช้คำถามปลายเปิด ไม่ชี้นำ รวมถึงการถามความรู้สึก หากลูกเป็นฝ่ายที่กล้าเล่าปัญหาให้ฟังก่อน อย่าลืมที่จะชื่นชมลูก
สัญญาณเตือนเมื่อลูกถูกบูลลี่
– ไม่อยากไปโรงเรียนหรือมีข้ออ้างบ่อยๆ
– กลับมาบ้านพร้อมรอยฟกช้ำหรือของใช้เสียหาย
– มีอาการซึมเศร้า เครียด หงุดหงิดง่าย
– ถอนตัวจากกิจกรรมที่เคยชอบ หรือออกจากกลุ่มเพื่อน
– มีปัญหาในการนอน ฝันร้ายบ่อย
– เริ่มพูดเรื่องลบต่อตัวเอง เช่น “เราไม่ดี”, “ทำไมไม่มีใครชอบเรา”
– น้ำหนักลดลงหรือระบบขับถ่ายผิดปกติจากความเครียด
– มีอาการปวดหัวหรือปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุทางร่างกาย
วิธีรับมือสำหรับ “เด็กเล็ก” เมื่อลูกถูกบูลลี่
เด็กในช่วงก่อนวัยเรียนและวัยประถมต้นมักยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน การเป็นผู้ฟังที่ดีและการให้ความมั่นคงคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยวิธีรับมือที่พ่อแม่สามารถทำตามได้ง่ายๆ มีดังนี้
สร้างความไว้วางใจ
พูดคุยกับลูกเป็นประจำ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เช่น “วันนี้ที่โรงเรียนมีเรื่องอะไรสนุกๆ บ้าง?” เมื่อเด็กเปิดใจได้ จะเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้เราฟังง่ายขึ้น นอกจากยังอาจนำบทเรียนจากนิทานหรือการ์ตูนมาปรับใช้ให้เข้ากับสถานการณ์จริงได้ด้วย
ส่งเสริมให้ลูกรู้จักปฏิเสธหรือบอกเพื่อน
สอนให้ลูกพูด “หยุดนะ” อย่างมั่นใจเมื่อต้องเผชิญกับผู้กลั่นแกล้ง และให้ลูกเข้าใจว่าไม่มีอะไรผิดที่เขาบอกให้คุณครูหรือพ่อแม่ฟัง เพราะนั่นคือการปกป้องตัวเอง ไม่ใช่การฟ้อง รวมถึงการบอกลูกให้พาตัวเองออกจากวสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง พร้อมการดูแลตัวเองเบื้องต้น หากเป็นไปได้ให้ลองมองหาเพื่อนกลุ่มใหม่
เสริมความมั่นใจ
ชมเชยในสิ่งที่ลูกทำได้ดี ให้ลูกได้ฝึกกิจกรรมที่เขาถนัด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน เช่น วาดรูป เล่นกีฬา
แจ้งคุณครูหรือโรงเรียน
พูดคุยกับคุณครู เพื่อประสานการดูแลเด็กในชั้นอย่างมีประสิทธิภาพ ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับผู้ปกครองของเด็กที่เป็นฝ่ายรังแกโดยตรง ให้ทางโรงเรียนเป็นผู้ประสาน
หาที่ปรึกษาเพิ่มเติมเมื่อจำเป็น
หากพ่อแม่รู้สึกหนักใจ หรือไม่แน่ใจว่าจะรับมืออย่างไร ควรปรึกษาหมอเด็กหรือนักจิตวิทยาเด็ก เพราะเด็กเล็กอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อผลกระทบด้านอารมณ์
วิธีรับมือการถูกบูลลี่สำหรับ “เด็กโต”
เด็กโตในวัยประถมปลายถึงมัธยมต้นมักเริ่มมีโลกส่วนตัว และอาจไม่อยากให้พ่อแม่เข้ามายุ่งมากนัก แต่พ่อแม่ยังสามารถเป็นโค้ชที่ดี โดยให้คำปรึกษาและแนะแนวทางอย่างเข้าอกเข้าใจ
อย่าด่วนตัดสิน ให้พื้นที่ลูกระบาย
พ่อแม่ควรหาเวลาคุยกับลูกบ่อยๆ สอนให้ลูกได้เล่าถึงปัญหา หากลูกเริ่มเล่าเรื่องแล้ว ควรปล่อยให้ลูกอย่างเต็มที่โดยไม่ขัดจังหวะ โดยเฉพาะในช่วงแรก พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการตำหนิ เช่น “ทำไมไม่สู้กลับล่ะ” หรือ “บอกแล้วว่าอย่าไปคบเพื่อนคนนั้น” แต่ควรสอนให้ลูกเลือกที่จะไม่ตอบโต้และพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์นั้นให้เร็วที่สุด
ช่วยลูกวิเคราะห์สถานการณ์
ชวนคุยว่า “มีทางไหนที่เราจะรับมือได้ดีขึ้นไหม?”, “คิดว่าคราวหน้าเราจะทำอย่างไรดี?” เพื่อฝึกการคิดเชิงวิเคราะห์และให้ลูกรู้สึกว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้ จากนั้นลองฝึกให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตัวเอง พร้อมสอนให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเอง
สอนการใช้โซเชียลมีเดียอย่างปลอดภัย
สำหรับกรณีที่ลูกถูกบูลลี่ผ่านโลกออนไลน์ ควรสอนให้เขาระวังเรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่แชร์ข้อมูลอ่อนไหว และไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธ สามารถบล็อกผู้ไม่หวังดีหรือลบข้อความนั้นออก
สร้างเครือข่ายที่ปลอดภัยให้ลูก
เบื้องต้นให้พยายามบอกลูกว่าอย่าไปไหนคนเดียว หากเพื่อนกลุ่มเดิมเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับลูก ควรแนะนำให้ลูกหาเพื่อนกลุ่มใหม่ หรือลองไปทำกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเข้าชมรม เล่นกีฬา ดนตรี เพื่อสร้างความรู้สึกว่าเขามีที่ยืนในสังคม
ขอความช่วยเหลือ
แนะนำให้ลูกพูดกับครู หรือหากยังลังเล พ่อแม่สามารถอยู่กับลูกขณะพูดคุยกับทางโรงเรียนได้ หรืออาจรวมถึงการปรึกษากับผู้มีประสบการณ์ด้านพฤติกรรมและสุขภาพจิตเด็ก
ผลกระทบระยะยาวของการบูลลี่ในเด็ก
การบูลลี่ไม่ได้ส่งผลแค่ชั่วคราว แต่ยังสามารถสะสมเป็นผลกระทบระยะยาวได้ โดยเฉพาะเด็กในวัยเติบโต เช่น
– ส่งผลต่อเรื่องการกิน
– การนอนหลับผิดปกติหรือฝันร้าย
– ภาวะซึมเศร้า / วิตกกังวลเรื้อรัง
– พัฒนาการทางอารมณ์ล่าช้า หรือมีปัญหาในการแสดงออก
– ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว
– ไม่อยากทำกิจกรรม แม้จะเป็นสิ่งที่ชอบ
– ผลการเรียนแย่ลง ไม่อยากไปโรงเรียน หรืออยากลาออก
– อาจส่งผลไปถึงปัญหาด้านสุขภาพกาย
– เสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง
สรุปวิธีรับมือเมื่อลูกถูกบูลลี่
เราเข้าใจดีว่าเวลาที่ลูกถูกบูลลี่ พ่อแม่ย่อมรู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้ลูก เด็กแต่ละคนอาจตอบสนองต่อความรุนแรงทางจิตใจต่างกัน บางคนเงียบ บางคนแสดงออกมาเป็นความก้าวร้าว หรือบางคนอาจแสดงผ่านโรคทางกาย การบูลลี่ในเด็กคือปัญหาที่ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เกิด แต่หากลูกต้องเจอกับสถานการณ์นั้นแล้ว เราควรมองเห็นมันเป็นโอกาสในการสอนทักษะชีวิต ให้ลูกรู้จักปกป้องและมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ที่สุดแล้วพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องแก้ทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง แต่การรับฟัง อยู่เคียงข้าง และหาทางช่วยลูก คือก้าวแรกของการเยียวยาที่ยิ่งใหญ่
คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อย อาการเจ็บป่วย พัฒนาการ หรือจิตวิทยาเด็ก สามารถโหลดแอปฯ หมอคู่คิดส์ เพื่อปรึกษาแพทย์ พยาบาล จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาได้ทันที ใช้งานง่าย คุยได้ตลอด ผ่านระบบแชทและวิดีโอคอล ดาวน์โหลดและปรึกษาเลยวันนี้! ทั้งในระบบ iOS และ Android