โนโรไวรัส ต้นเหตุท้องเสียในเด็ก ระบาดหนักหน้าหนาว
โนโรไวรัส ต้นเหตุท้องเสียในเด็ก ระบาดหนักหน้าหนาว
โดย : หมอคู่คิดส์ | 17 ธันวาคม 2024 | บทความทางการแพทย์
Highlight
– โนโรไวรัส คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ก่อให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนอย่างรุนแรง
– ช่วงที่มีการระบาดมากที่สุดคือช่วงฤดูหนาว สามารถติดต่อกันได้ง่าย
– ติดต่อได้จากการกินอาหาร น้ำดื่ม หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ
– อาการที่พบบ่อย คือ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว ปวดท้อง มีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย
– ปัจจุบันยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกัน เน้นการรักษาตามอาการ
– ป้องกันได้ด้วยการกินอาหารปรุงสุกใหม่ ล้างมือบ่อยๆ ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย
โนโรไวรัส อีกหนึ่งเชื้อไวรัสตัวร้าย ที่จริงๆ มีมานานแล้ว และมักมีการระบาดอยู่เสมอโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว แต่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นชื่อของเจ้าไวรัสตัวนี้กันมากนัก ถือเป็นอีกหนึ่งต้นเหตุของอาการท้องเสียที่เกิดบ่อยในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังทำงานได้ไม่ดีนัก โดยบทความนี้จะพาไปรู้จักไวรัสตัวนี้ให้มากขึ้น ทั้งเรื่องของการติดต่อ อาการ และวิธีป้องกัน เพื่อคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมตัวรับมือกันได้
โนโรไวรัส คืออะไร
โนโรไวรัส คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ก่อให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก การติดเชื้อนี้พบได้บ่อยและแพร่กระจายได้ง่าย แม้ร่างกายจะได้รับเชื้อในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งช่วงที่มีการระบาดมากที่สุดคือช่วงฤดูหนาว สำหรับโนโรไวรัสมีระยะเวลาฟักตัว 12-48 ชั่วโมง มีการทนต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อได้ดี รวมถึงแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อไม่สามารถที่จะฆ่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้
โนโรไวรัส ติดต่อได้อย่างไร
จริงๆ แล้วโนโรไวรัสสามารถพบได้ทุกช่วงวัย แต่มักมีการระบาดในหมู่เด็กเล็ก เด็กโต ก่อนจะแพร่กระจายและติดต่อไปสู่ผู้ใหญ่ ซึ่งกลุ่มเสี่ยงต่อไวรัสตัวนี้คือเด็กเล็กและผู้สูงอายุ โดยปัจจัยเสี่ยงในการติดต่อ มีดังนี้
– การกินอาหาร และน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
– มีการสัมผัสอุจจาระ หรืออาเจียนของผู้ป่วย
– สัมผัสผู้ป่วยที่มีติดเชื้อโนโรไวรัสโดยตรง
– กินอาหารจากภาชนะที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส
– การสัมผัสของเล่น สิ่งของ หรือพื้นผิวที่มีเชื้อ แล้วนำนิ้วหรือมือเข้าปาก
อาการของโนโรไวรัส เป็นอย่างไร
อาการของผู้ติดเชื้อโนโรไวรัสมักเริ่มปรากฏหลังได้รับเชื้อประมาณ 12-48 ชั่วโมง และมักคงอยู่ประมาณ 1-3 วัน แต่ในเด็กเล็กอาจนานถึง 4-6 วัน สำหรับเด็กที่ติดเชื้อมักมีอาการดังต่อไปนี้
– คลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง
– ท้องเสียฉับพลัน ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
– ปวดท้อง หรือเกร็งหน้าท้อง
– มีไข้ต่ำ (แต่ผู้ป่วยบางรายก็อาจมีไข้สูงได้)
– อ่อนเพลีย
– ปวดศีรษะ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
แม้ว่าโนโรไวรัสมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ในเด็กเล็กอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายมากในเด็ก นอกจากนี้ยังสามารถเกิดอาการอื่นๆ ขึ้นได้ เช่น
– ถ่ายไม่หยุด มีมูกเลือดปน
– ไข้สูง
– กินไม่ได้ เบื่ออาหาร
– ซึม
– กระสับกระส่าย
– มีอาการช็อก
*หากพบว่าลูกน้อยมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน*
วิธีป้องกันโนโรไวรัส
แม้ว่าโนโรไวรัสมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง แต่ในเด็กเล็กอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะภาวะขาดน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายมากในเด็ก นอกจากนี้ยังสามารถเกิดอาการอื่นๆ ขึ้นได้ เช่น
– ถ่ายไม่หยุด มีมูกเลือดปน
– ไข้สูง
– กินไม่ได้ เบื่ออาหาร
– ซึม
– กระสับกระส่าย
– มีอาการช็อก
*หากพบว่าลูกน้อยมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน*
โนโรไวรัส มีวิธีการรักษาอย่างไร
สำหรับการรักษาโนโรไวรัสในปัจจุบันยังไม่มียาเฉพาะ หรือวัคซีนที่ใช้ในการป้องกัน เน้นรักษาตามอาการ ซึ่งสามารถบรรเทาอาการป่วยที่เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
– ให้เด็กดื่มน้ำมากๆ : เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ควรให้เด็กดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำจากร่างกาย
– พักผ่อนให้เพียงพอ : พยายามให้เด็กได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
– กินอาหารที่ย่อยง่าย: ในช่วงเวลาที่ป่วย ควรให้เด็กกินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม หรือซุป
*หากเด็กมีภูมิต้านทานดี จะอาการดีขึ้นและสามารถหายเองได้ในช่วงประมาณ 2-3 วัน*
สรุปเรื่องของโนโรไวรัส
แม้ช่วงนี้จะมีข่าวการระบาดของโนโรไวรัสเกิดขึ้น จนอาจสร้างความตกใจให้คุณพ่อคุณแม่ได้ แต่จริงๆ แล้วโนโรไวรัสเป็นเชื้อที่มีมานานแล้ว แถมยังเคยระบาดในประเทศไทยมาแล้วด้วย อีกทั้งช่วงนี้ก็เป็นฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื้อตัวนี้มักระบาดง่ายอยู่แล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรตื่นตระหนก แต่ให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะถือเป็นภาวะที่สามารถจัดการได้ หากพ่อแม่หรือผู้ปกครองมีการเตรียมตัวและเฝ้าระวังอย่างถูกต้อง ซึ่งหากมีการป้องกันการแพร่ระบาดและการดูแลสุขอนามัยลูกน้อยอย่างถูกต้อง ก็จะมีส่วนช่วยทำให้เด็กแข็งแรงและปลอดภัยจากไวรัสตัวนี้ได้
คุณพ่อคุณแม่คนไหนที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกน้อย อาการเจ็บป่วย พัฒนาการเด็ก หรือเรื่องอื่นๆ รวมไปถึงปัญหาสุขภาพใจหลังคลอดของคุณแม่ สามารถโหลดแอปฯ หมอคู่คิดส์ เพื่อปรึกษาแพทย์ พยาบาล จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาได้ทันที ใช้งานง่าย คุยได้ตลอด ผ่านระบบแชทและวิดีโอคอล ดาวน์โหลดและปรึกษาเลยวันนี้! ทั้งในระบบ iOS และ Android